วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

อวิชชา วิชชา และวิมุตติ

อวิชชา วิชชา และวิมุตติ


                ภิกษุทั้งหลาย  เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฎ ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี  ภายหลังจึงมี เพราะฉะนั้น  เราจึงกล่าวคำนี้ อย่างนี้ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้  อวิชชาที่มีข้อนี้  เป็นปัจจัยจึงปรากฏ
อวิชชา มีอาหาร คือ นิวรณ์ 5 (กามฉันทะ พยาบาท ถิ่นมิทธะ  อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา)
นิวรณ์ 5 มีอาหาร คือ ทุจริต 3 (กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต)
ทุจริต 3 มีอาหาร คือ ความไม่สำรวมอินทรีย์
ความไม่สำรวมอินทรีย์ มีอาหาร คือ ความไม่มีสติสัมปชัญญะ
ความไม่มีสติสัมปชัญญะ  มีอาหาร คือ การมนสิการโดยไม่แยบคาย
การมนสิการโดยไม่แยบคาย มีอาหาร คือ ความไม่มีศรัทธา
ความไม่มีศรัทธา  มีอาหาร คือ การไม่ฟังสัทธรรม
การไม่ฟังสัทธรรม มีอาหาร คือ การไม่คบสัตบุรุษ
การไม่คบสัตบุรุษที่บริบูรณ์   ย่อมทำให้การไม่ฟังสัทธรรมบริบูรณ์   
การไม่ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ความไม่มีศรัทธาบริบูรณ์
ความไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การมนสิการโดยไม่แยบคายบริบูรณ์
การมนสิการโดยไม่แยบคายที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ความไม่มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์
ความไม่มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ความไม่สำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
ความไม่สำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ทุจริต 3 บริบูรณ์
ทุจริต 3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้นิวรณ์ 5 บริบูรณ์
นิวรณ์ 5 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้อวิชชาบริบูรณ์
**อวิชชา มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้แล**


วิชชา และวิมุตติ


          ภิกษุทั้งหลาย  วิชชา และวิมุตติ  เราก็กล่าวว่ามีอาหาร  มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร 
วิชชาและวิมุตติ  มีอาหาร คือ โพชฌงค์ 7
โพชฌงค์ 7  มีอาหาร คือ สติปัฏฐาน 4
สติปัฏฐาน 4 มีอาหาร คือ สุจริต 3
สุจริต 3  มีอาหาร คือ ความสำรวมอินทรีย์
ความสำรวมอินทรีย์  มีอาหาร คือ สติสัมปชัญญะ
สติสัมปชัญญะ  มีอาหาร คือ การมนสิการโดยแยบคาย
การมนสิการโดยแยบคาย  มีอาหาร คือ ศรัทธา
ศรัทธา  มีอาหาร คือ การฟังสัทธรรม
การฟังสัทธรรม  มีอาหาร คือ การคบสัตบุรุษ
การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมบริบูรณ์
การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ศรัทธาบริบูรณ์
ศรัทธาที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การมนสิการโดยแยบคายบริบูรณ์
การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์
สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์
สุจริต 3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์
สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์
โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์
** วิชชา และวิมุตติ มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้แล**


อาหารอวิชชา และวิชชาวิมุตติ

หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสีhttp://youtu.be/amCZzVJOJ0Y
http://youtu.be/amCZzVJOJ0Y

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

เทคนิคการท่องจำหนังสือ - 15 วิธีลับสมองให้ความจำดีขึ้น

เทคนิคการท่องจำหนังสือ

แนะนำวิธีการอ่าน
หนังสือประเภทต้องใช้ความจำเยอะ ฉบับสั้นๆ ให้เพื่อนๆ ลองนำไปใช้ดูค่ะ
1.สิ่งที่แรกคือ จดจ่ออยู่กับหนังสือ ไม่วอกแวก
2.เริ่มอ่าน...
3.พยามสรุปให้ได้ว่า แต่ละย่อหน้านั้นที่อ่านมามีอะไรบ้าง ประมาณว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร(สูตรนี้เอามาจากอาจารย์)
4.แต่ละหัวข้อนั้นๆ อันไหนสำคัญใช้ปากกาเน้นขีดไว้ (ประมาณว่าเก็งข้อสอบ)
5.พออ่านแล้วใช้ปากกาเน้นขีดเนื้อหาที่สำคัญของหัวข้อนั้นๆ หมดทุกเรื่อง เมื่อใกล้สอบให้กลับมาอ่านข้อความที่เน้นไว้ทุกข้อความ
6.ถ้าว่างจนไม่มีอะไรทำ ให้คิดทบทวนเนื้อหาที่อ่านมาในใจ ประมาณว่าหัวข้อนี้มีอะไรบ้างที่สำคัญ
6 ขั้นตอนนี้ไม่ยากเท่าไหร่ ขอแค่ความตั้งใจ สอบครั้งต่อไป ได้คะแนนเพิ่มแน่ๆ จ้า
 
 

15 วิธีลับสมองให้ความจำดีขึ้น

นี่คือคำแนะนำเพื่อความจำที่ดีขึ้น
• 1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกัน ว่ากันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆสามวๆ นั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์
• 2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆให้เข้าใจได้ง่ายๆขึ้น
• 3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุดก็คือจดทุกอย่างลงในกระดาษ เขียนไว้กันลืม สุภาษิตจีนบอกไว้ว่า ถึงแม้ว่าหยดหมึกที่จางที่สุดก็จะอยู่ได้นานกว่าความจำที่ว่าแม่นที่สุด
• 4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอนะ ที่จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆละก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม
• 5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวน ไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆเข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆเข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆที่เราคุ้นเคย
• 6. ฝึก..ฝึก..ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูสิว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่ยังเด็กล่ะ
• 7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆหรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน
• 8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มันมักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคยนั่นล่ะ จะเชื่อมั้ยล่ะ ถ้าบอกว่าวิธีเปิดฝากระป๋องแบบดึงขึ้นนั้นน่ะ ต้นตอมาจากการปลอกเปลือกกล้วยนั่นเอง
• 9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ..แล้ว คำโบราณที่บอกว่าคบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผลนั่นน่ะมันเป็นความจริง การที่เราได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอนั้นจะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ
• 10. เลียนแบบลีโอนาโด..หมายถึง ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด
• 11. เอาใจใส่ เคยมั้ยที่เวลาได้เจอใครๆกลับจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร ที่เป็นปัญหาอาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆนั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น
• 12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้
• 13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย
• 14. ลองทำสิ่งใหม่ๆจะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ
• 15 ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด ขึ้นป้าย Don't Disturb! ติดไว้ข้างตัว เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

มนุษย์ 5 จำพวก

มนุษย์ 5 จำพวก
1. มนุสสเนรยิโก มนุษย์สัตว์นรก ได้แก่ มนุษย์ผู้ดุร้าย หยาบคาย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจี้ปล้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยฆ่าเจ้าทรัพย์ตายบ้าง ทุบตีจนบาดเจ็บสาหัสบ้าง ข่มขืนแล้วฆ่าบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นทรมานผู้อื่นสัตว์อื่น เป็นคนไร้ศีลธรรม ไม่มีมนุษยธรรมคือศีล 5 ประจำตัวเลย นามว่า มนุสสเนรยิโก แปลว่า มนุษย์สตว์นรกคือเป็นมนุษย์แต่ชื่อ ส่วนความประพฤติทางกาย วาจา ใจนั้นเลวทราม ดุร้ายหยาบคายเหมือนสัตว์นรกฉะนั้น
2. มนุสสเปโต มนุษย์เปรต ได้แก่ มนุษย์ผู้มากไปด้วยความโลภ มากไปด้วยตัณหา ชอบลักเล็กขโมยน้อยโลภเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน แย่งชิงวิ่งราวเป็นต้น แม้พวกที่เที่ยวขอทาน ก็สงเคราะห์เข้าในประเภทนี้ด้วย
3. มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์เดรัจฉาน ได้แก่มนุษย์ทีขวางศีลขวางธรรม มีโมหะคือความหลงมาก ไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักโทษ ไม่รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เป็นต้น เป็นมนุษย์ผู้ไรศีลธรรม ดืมสุรา เสพยาบ้า กินกัญชา ทำอะไรทางกาย วาจา ใจ ก็ขวางๆผิดทำนองคลองธรรม นามว่า มนุสสติรัจฉาโน แปลว่ามนุษย์สัตว์เดรัจฉาน เดรัจฉาน แปลว่า ผู้ไปขวาง
คือเดินทอดตัว ไม่ได้เดินตั้งตัวเหมือนคน คนเดรัจฉานก็ฉันนั้น ทำอะไรก็ขวางธรรม ขวางวินัย คือขาดศีลธรรมเสมอๆ

3. มนุสสภูโต มนุษย์แท้ๆ คือเป็นคนเต็มตัว ได้แก่คนรักษาศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ไม่ขาด ไม่ประมาทต่อศีลเพราะศีลเป็นมนุษยธรรม คือเป็นธรรมประจำมนุษย์ ธรรมที่ทำให้คนเป็นคน มนุสสภูโต แปลว่ามนุษย์แท้ๆ เพราะมีคุณธรรมของคนคือศีล ศีล ท่านแปลว่า เศียร คือ หัว ถ้าคนขาดศีล ก็คือคนหัวขาดนันเอง เพราะขาดจากคุณธรรมของความเป็นคน
5. มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา ได้แก่มนุษย์ผู้มีศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ แล้วยังได้พยายามบำเพ็ญกุศลเพิ่มพูนบารมีอยู่เรื่อยๆ เช่น ให้ทาน ฟังธรรม เรียนธรรม ปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์ มีหิริคือความละอายต่อบาป มีโอตตัปปะ คือความสดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาปอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นผู้มีใจสูงดุจเทวดา เพราะประกอบด้วยเทวธรรม 7 ประการคือ
-บำรงเลี้ยงมารดาบิดา
-ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อบุคคลผู้เจริญ
-พูดจาไพเราะเสนาะหู อ่อนหวาน นุ่มนวล
- ไม่พูดส่อเสียดผู้อื่น
- ละความตระหนี่เหนียวแน่น
- รักษาคำสัตย์
- ไม่โกรธ
มนุษย์ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ท่านขนานนามว่า มนุสสเทโว แปลว่า มนุษย์เทวดา
http://www.tangboon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=256391