วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตหลวงพ่อประสิทธิ์ถาวโร

  • ปฐมวัย
    ชื่อเดิม นายประสิทธิ์ คำประเสริฐ เกิดวันเสาร์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๖ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน ณ บ้านคอน กิ่งอำเภอสีทันดร อำเภอมโนไพร จังหวัดนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว บิดาชื่อนายทอง คำประเสริฐ มารดาชื่อนางทองจันทร์ คำประเสริฐ เป็นบุตรคนเดียวของครอบครัว
  • รับราชการ
    อายุประมาณ ๑๔ ปี เรียนจบ ป.๔ เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๐ได้สำเร็จนักธรรมโท ที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ อายุ ๑๙ ปี
  • มีครอบครัว
    ได้นางประไพเป็นภรรยา มีบุตรรวมเป็น ๕ คน
  • "กัมมุนา วัตตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
    เมื่อถึงคราวจะวิบัติ หลวงพ่อก็เกิดปฏิกิริยาอะไรก็ไม่รู้ ชอบไปหาพระป่า วันหนึ่งตัดสินใจฆ่าตัวตาย มันมืดแปดด้าน หาทางออกไม่ได้ ยอมตายดีกว่า เอาน้ำมันสโต๊กมากิน มันร้อนคอไปเฉยๆ ไม่เห็นมันตายอะไร แต่ไม่ลดละในการคิดฆ่าตัวตาย จึงรู้ว่าคนที่คิด ฆ่าตัวตายมีลักษณะอย่างไร ได้แก่ตัวหลวงพ่อเอง รุ่งวันหนึ่งหลวงพ่อคิดผูกคอตาย ซ่อนเชือกเข้าไป วันนี้เป่าแตรนอนเมื่อไหร่หลวงพ่อเอาแน่เลย ทีนี้มีวิทยุเขาประกาศว่า มีเด็กสาวไปเล่นน้ำ ทำเข็มขัดนากหายกลับบ้านพ่อแม่ตีเลยโกรธเคืองแม่ ไปกินยาตรากะโหลกไขว้ตาย เขาว่าพระท่านว่า การฆ่าตัวตายบาปหนักบาปหนา พอรู้ว่าบาปเท่านั้น หลวงพ่อคลายทันทีเลย มีความละอายต่อบาป เลยตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตาย เอาเชือกทิ้งถังเมล์ไป นี่บุญในอดีตชาติส่งผลฝ่ายกุศลธรรมมาสนับสนุนกีดกั้น ด้วยเกรงกลัวต่อบาป หลวงพ่อเชื่อกฎแห่งกรรม ก็อุปมาเหมือนรถที่วิ่งไปบอกว่าหยุด มันก็หยุดไม่ได้ มันต้องถลาไปสักพักหนึ่ง แล้วจึงหยุด ด้วยผลดัน ข้างหลังไป นี่เป็นผลของกฎแห่งกรรม ศรัทธาเกิดทันที เมื่อมันสติฟื้นขึ้นมา ก็มีความระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พอมีสติดีก็เริ่มเกิดปัญญาขึ้น
  • ธรรมะเกิดครั้งที่ ๑ ปี พ.ศ.๒๕๐๕
    เจริญอานาปานสติ เขาให้นับคู่หายใจเข้า ๑ ออก ๑ เข้า ๒ ออก ๒ เข้า ๓ ออก ๓ เข้า ๔ ออก ๔ เข้า ๕ ออก ๕ แล้วก็ถอยหลัง มาเอาเป็น ๖ เป็น ๗ เป็น ๘ เป็น ๙ เป็น ๑๐ แค่นั้นแหละก็ถอยหน้า ถอยหลัง ลมมันก็เร็วเลยนับเดี่ยว ๑ ถึง ๑๐ นับ ๑ ถึง ๑๐ ทำให้ท้อง แขม่วๆลงไป จนกระทั่งลมละเอียด มองเห็นสายลมในจมูกนี้ มีสติ- สัมปชัญญะควบคู่กัน เหมือนเส้นลวดเส้นเชือกดิ่ง พอลมจะสุดมันจะมี นิวรณ์มากั้นว่า ตายนะนี่เรียกว่าอุปาทาน พอตายเท่านั้น ตัดสินใจชั่วแว้บ เดียว ตายเป็นตายไม่ถึงหนึ่งนาทีเลย พอสุดลมวับดับ ดับแล้วมันก็เกิด ทันที เห็นกองสังขารอยู่กองข้างหน้า นี่สำรอกกิเลสครั้งแรก
  • อุปสมบท
    พ.ศ.๒๕๑๒ อายุได้ ๔๖ ปี อุปสมบทเป็นครั้งแรก วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๒ ณ วัดนิมมานราษฎร์บำรุง ต.หนองไผ่แก้ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี
  • ธรรมะเกิดครั้งที่ ๒ ปี พ.ศ.๒๕๑๒
    หลวงพ่อก็ปฏิบัติต่อไป แต่ว่าธรรมะเกิดแต่ละครั้งนั้นก็เห็นกองสังขาร จิตมันจะอ่อนลงๆ วูบๆ เหมือนเราเดินลงที่ต่ำตามลำดับมา จนกระทั่ง กองสังขารครั้งสุดท้ายก็พิจารณาเรื่องทุกข์ พูดตามปริยัติก็เรียกว่าเข้าสู่ อุเบกขาญาณ พิจารณาหาทางออกจากกองทุกข์ มาอยู่ในกองสังขาร เป็นทุกข์ เกิดความนิพพิทา เกิดความเบื่อหน่ายไม่อยากอยู่ หาทาง พิจารณาไปอยู่ประมาณสัก ๖-๗ วันจะได้ ก็เอาทุกข์นั้นพิจารณาสาวไป อะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ ปัญญานี่จะหยั่งเข้าไปหาเหตุ ทุกข์นี่ต้องมีเหตุ เหมือนกับไฟ เมื่อมีไฟต้องมีร้อน ไอ้ร้อนนี่เหมือนตัวทุกข์ ร้อนมาจาก อะไร มาจากไฟไฟนี่เป็นตัวสมุทัย สาวเข้าไปจึงไปถึงเหตุมันเขาเรียกว่า สมุทัย เหตุแห่งทุกข์เกิด จึงเข้าอ้อนั้นแหละเข้าป่าอ้อ เข้าสู่อัปปนาสมาธิ หรือพูดตามปริยัติ เขาเรียกว่า ธรรมเอกผุดขึ้น เป็นอารมณ์เดียวดิ่ง อุปมาเหมือนกับดินปืน จุดเอาไฟไปจี้มันจะฟุ่บขึ้นมา เป็นอารมณ์เดียว นี่สำรอกกิเลสครั้งที่ ๒
  • สอบอารมณ์ที่อ้อมน้อย
    วันเสาร์ อาจารย์บุญมี เมธางกูร มาสอบอารมณ์ ถามคนอื่นๆไป พอ มาถึงหลวงพ่อ ก็แยกรูปแยกนามให้ฟัง อุปมาเหมือนกลางแจ้ง เห็นเงา ของตัวเองเงานั้นเป็นนาม กายเรานี้เป็นรูป จนที่สุดอุปมาเหมือนกับ ต้นกล้วยไม่มีแก่นสารอะไรเท่านั้นท่านพูดคำเดียวว่า พระ เมื่อกลับมาอยู่วัด หลวงพ่อเปิดฟังวิทยุสถานียานเกราะ อาจารย์บุญมี เอาหลวงพ่อไปประกาศโฆษณา พระมาปฏิบัติที่นี่ ๑๐๐-๒๐๐ มีอยู่ องค์เดียว ได้ดวงตาเห็นธรรม
  • มาอยู่ถ้ำยายปริก
    ก่อนกฐินจะมา หลวงพ่อก็มาเกาะสีชังอีก มาพักที่วัดจุฑาทิศฯ พอตก กลางคืน ได้นิมิตเห็นผู้หญิงชราผมขาวไปนิมนต์ให้มาอยู่ที่ถ้ำยายปริก รุ่งเช้าฉันเสร็จ จึงเดินทางมาสำรวจ หลวงพ่อก็เข้าถ้ำไปจับอารมณ์ดู พิจารณาในถ้ำพบว่ามีความเยือกเย็นดี สงบสงัดจริงๆ มีอากาศถ่ายเทดี เหมาะสำหรับการบำเพ็ญสมณธรรม หลวงพ่อก็เลยปักใจจะมาอยู่ หลวงพ่ออยู่ถ้ำกันดารน้ำมาก ใช้น้ำวันละขัน
  • ธรรมชาติมันลอง ฟ้าผ่า
    วันหนึ่งฝนตกแต่ธรรมชาติรู้กัน หลวงพ่ออยู่ในกลด กลดใหม่ๆ วันนี้ ธรรมชาติมันลอง ฝนตกสักๆอยู่ หลวงพ่อถามมันเอาแน่เหรอ จิตมัน ว่ากัน กลดแขวนอยู่ แน่ว่าซั้น แน่ก็เตรียมพร้อมจับด้ามกลด พอพร้อม เท่านั้น ฟ้าผ่าเปรี้ยง เพียะ กลดหัก ๔ ซี่ มุ้งหลุดเลย เปียกหมด
  • ธรรมะเกิดครั้งที่ ๓ ปี พ.ศ.๒๕๑๖
    เพียร ๓ ปีธรรมะอะไรก็ไม่เกิด คลายความเพียรจะจำวัดหันไปดูนาฬิกา นี่จะ ๓ ทุ่มแล้ว ปรกติก่อนนอนหลวงพ่อจะนั่งกรรมฐานเอาสักหน่อย ดึงนิสีทนะที่ปลายเท้ามาขยับนั่ง พอสัมผัสเท่านั้น เสียงดังเหมือนสาย ฟ้าผ่า เปรี้ยงปร้างเลย แต่ความรู้สึกตัวนี่อุปมาเหมือนกับลอกหนังกบ ในตัวออกดังเพียะเลย หลวงพ่อสงสัยว่าอะไร ลองลูบตัวเองมีแต่รู้ทั้งนั้น ปัญญานี้มันจะมองถึงพระอานนท์ตอนบรรลุธรรมทันทีเลย ปริศนาธรรม ของหลวงพ่อพุทธทาส หลวงปู่มั่น ตีแตกหมด จึงมารู้ความจริง ไอ้ตัวนี้ มันนามชัดๆ เลย ภายนอกเป็นรูปหมด นี่เขาเรียก แยกรูปนามชัดเจน หรือกะเทาะเปลือก นี่สำรอกกิเลสครั้งที่ ๓
  • ธรรมะเกิดครั้งที่ ๔ และพรหมอาราธนา
    เจอลูกหมาตายอยู่ข้างทางบันไดขึ้นมา หนอนกำลังไชอยู่กำลังกิน หลวงพ่อก็เอาไม้เท้าเขี่ยดูก็เอาลูกหมานั้นเป็นอารมณ์ น้อมมาใส่ตัวเรา แล้วก็เอาเรา เหมือนนั้น หนอนไชอะไรต่างๆ แล้วก็ทิ้งไป พอตกกลางคืนนั่งกรรมฐาน ก็เอานั้นมาเป็นอารมณ์ น้อมมาใส่กายเรา พิจารณาว่า ร่างกายของเรานี้ เหมือนกับเนื้อสุนัข ที่มันเน่าเปื่อยหนอนไชกำลังกิน มองเห็นซี่โครง ร่างกายว่างหมดเลย พอได้ส่วนเท่านั้น เสียงมันลั่นจากทรวงอกข้างซ้าย ดังปึก แล้วก็เลื่อนลงมาโคนขาดังเพียะ นี่สำรอกกิเลสครั้งที่ ๔ เรียกว่า เจโตวิมุตติ สำรอกราคะและโทสะ
  • ธรรมะเกิดครั้งที่ ๕ พรรษา ๑๐
    หลวงพ่อปฏิบัติธรรมเป็นปกติ มีสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ตั้งอยู่ในอริยมรรคองค์ ๘ พอวันนั้น ได้เวลาปั๊บมันจะขึ้นมาเอง พอขึ้นมา แล้วดูมัน ตัวนี้แหละปัจจุบันธรรม เอ๊ะ จิตมันแว้บ อันนี้เรามีแต่รู้ ทำไม เราไปหลงอยู่อาการของจิต เท่านั้นแหละ เห็นเป็นอาการของจิตรูปนาม ปัจจุบันธรรมมันหลุดจากหัวใจลงไปอีก ตัวลอยเลย สุขอะไรไม่เท่ากับสุข ที่สังขารขันธ์ไม่ปรุงแต่ง แล้วต่อมาก็เป็นปกติ นี่แหละมันจับไอ้ตัวคิดนึก ปรุงแต่งขึ้นมาทันปัจจุบันเหมือนหมาไล่เนื้อ เขาเรียกยกจิตขึ้นสู่ไตรลักษณ์ งับหลุด ดับตัวสังขารขันธ์ขันธ์หลุด ต่อมาเดือนกว่าๆ ก็อยู่ในถ้ำ นี่มันจะฟู ขึ้นมาอีก หลวงพ่อก็จับมาพิจารณาด้วยปัญญาโดยโยนิโสมนสิการ เอ๊ะ ไอ้ ความปรุงแต่งมันเอามาพิจารณา ก็เหมือนเราหยิบของมาดูมาชมมาพิเคราะห์ อะไรต่างๆ พิจารณา ไอ้ตัวคิดตัวนึกตัวปรุงแต่งนี้เองเป็นตัวสมมติบัญญัติ เป็นโน่น เป็นนี่ เป็นตัว เป็นตนเป็นเราเป็นเขา เป็นของกูตัวกูอะไรต่างๆ นานาเมื่อรู้อย่างนี้อีก ทีนี้มันก็หายไป ทีนี้จิตก็จะว่างโล่งเบาสบาย ไม่ได้ ไปคิดไปนึกอะไรนิ่งเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ ทีนี้ก็มีสติ- สัมปชัญญะพิจารณาดูทางอายตนะต่างๆ เห็นความเกิดดับของสภาวธรรม ต่างๆ มันจะเข้ามาจับอายตนะแล้ว เริ่มอายตนะ จิตนี่ว่างโปร่ง แล้วรู้ ความจริงแค่ปัสสาวะก็มีรูปกับนาม กลืนน้ำลายก็รูปนามกระทั่งตด อุจจาระ กระทั่งอะไรก็แล้วแต่ เห็นในกายเรานี้นะทุกอย่าง เมื่อ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส กระทบตาหูจมูกลิ้นกาย มันก็ไปสู่ที่จิต จึงว่ากามคุณ ๕ นี้เป็น ของที่หลอกลวงไม่เที่ยง ทีนี้ภายนอกมันก็เข้ามาอยู่ที่จิต จึงมาพิจารณาไอ้ ตัวจิตเป็นหนึ่ง เอกัคคตา กลายมาเป็นสมาธิไป แปรสภาพไป มาเป็น ตัวสมาธิ เสื่อมจากจิตมาเป็นสมาธิ แล้วปัญญาจะเข้าไปดู สอดส่องอยู่ ตลอดเวลา เขาเรียกโยนิโสมนสิการ ละเอียดถี่ยิบเลย กายมันก็สมมติบัญญัติ เมื่อเป็นสมาธิแล้ว ทีนี้จิตมันจะว่างเปล่า ไม่ได้ปรุงแต่งอะไร มันก็อยู่ในอารมณ์ความว่าง......
  • คนตายดีที่สุด
    เมื่อสังขารขันธ์ดับได้แล้ว ความเป็นตัวตนจักมีไม่ได้ เพราะไม่ได้เข้าไป เพื่อปรุงแต่ง ครั้นเมื่อความปรุงแต่งขาดไป ความทุกข์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร
    • ๑. จิตที่ส่งออกนอกเพื่อรับอารมณ์ทั้งสิ้นเป็น สมุทัย
    • ๒. ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก อันได้รับความกระทบกระเทือนจากอารมณ์นั้นเป็น ทุกข์
    • ๓. จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็น มรรค
    • ๔. ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็น นิโรธ
  • ได้เสียสละประเสริฐสุด
    คนตายดีที่สุด ตายโลภ โกรธ หลง เห็นอนิจจัง อนัตตา สุญญตา
    เป็นธรรมโอสถ รู้แจ้งโลก 
    คนเป็นร้ายที่สุด เพราะสมมติครอบงำ
  • มรรคจิต ผลญาน (อริยสัจ ๔)
    หลวงพ่ออยู่ทางโลก ๔๕ ปี ทำเอาไม่ได้อะไรเหนื่อยเปล่า 
    แต่มาบวช ๓๘ ปีได้เสียสละประเสริฐสุด
    http://prasiththavaro.com/history
  •  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก