อุปาทินนกสังขาร ตอน.ท้ายคือ..อนุปาทินนกสังขาร
คือกายที่มีผู้ครองอยู่
หรืออัตภาพอันเป็นที่ยึดถือว่า เป็นตน เป็นเรานี้.
พระบรมศาสดาและพระสารีบุตรแสดงแยกเป็น ๒ แผนกคือ กาย ๑ จิต ๑
แต่ก็อาศัยกันและกันเป็นไป,
ถ้าลำพังรูปไม่มีจิตก็ไม่รู้อะไร เช่นรูปหุ่น รูปตุ๊กตา, ถ้าลำพัง
แต่จิตไม่อาศัยรูป ก็ไม่ปรากฏ เหมือนไฟที่ไม่ติดเชื้อ ก็ไม่ปรากฏฉะนั้น.
เพราะรูปคือธาตุทั้ง ๔ กับจิตอาศัยกันเป็นไป จึงเกิดรู้สึกทางตาที่เห็นรูป
ทางหูที่ฟังเสียง ทางจมูกที่ดมกลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่ถูกต้อง
โผฏฐัพพะ ทางมนัสที่นึกคิดเรื่อง นี้ท่านเรียกว่าวิญญาณ,
รู้เสวยสุขบ้าง รู้เสวยทุกข์บ้างรู้เสวยไม่ใช้ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง
ตามคราวนี้ท่านเรียกว่าเวทนา, รู้จำต่าง ๆ นี้ท่านเรียกว่าสัญญา, ปรุงแต่ง คือนึกคิดเรื่องราวต่าง ๆ รวมลงเป็นส่วนดีบ้าง ชั่วบ้าง
ไม่ดีไม่ชั่วบ้าง นี้ท่านเรียกว่าสังขาร,
ทั้ง ๔ อาการนี้ท่านรวมเรียกว่านาม กับรูปอีก ๑ จึงรวมเป็น ๕ ท่าน
เรียกว่าปัญจขันธ์ คือกองหรือส่วน ๕,
รวมทั้ง ๕ส่วนนี้ ท่านเรียกว่ากาย ( ซึ่งแปลว่า กองหมู่ หรือประชุม )
ส่วนจิตนั้น คือธรรมชาติที่ให้สำเร็จความคิด โดยเนื้อความน่าจะได้แก่
สภาพที่เป็นต้นเดิมของนามธรรม, เมื่ออาศัยรูปจึงแสดง
อาการออกมาเป็น เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ อันเป็นนามหรืออาการของจิต,
จิตไม่ใช่ปัญจขันธ์ที่เป็นส่วนกายโดยตรง.
เมื่อยังไม่ได้อบรมให้มีความรู้ยิ่งถึงที่สุด
ยังมีอวิชชารู้ไม่ถูกตามเป็นจริง หรือความเข้าใจผิดครอบงำอยู่
ก็ยึดสิ่งที่รู้คือปัญจขันธ์ว่าเป็นเรา จึงเป็นภพเป็นสัตว์ไปตามความยึดถือ,
ถ้ายังรู้ไม่ถูกตามเป็นจริงหรือเข้าใจผิดอยู่เพียงใด ก็คงยึดถือสิ่งที่รู้
คือปัญจขันธ์นั้นว่าเป็นเราอยู่ และเป็นภพเป็นสัตว์อยู่เพียงนั้น,
แม้กายนี้จักแตกสลายไป ก็คงถือเอาภพใหม่ชาติใหม่อีก
และคงเป็นเราอยู่เสมอ ไม่พ้นจากเราไปได้ เพราะความยึดถือ.
เพราะฉะนั้น คนที่เกิดมา ถึงจะต่าง ๆ กันด้วยเพศพันธุ์และ
คุณธรรมเป็นต้นอย่างไรก็ตาม ถ้ายังคงถือกายเป็นเราอยู่ ก็คงเป็นเช่นนี้ด้วยกันทั้งหมด, แต่ส่วนทียึดถือว่าเป็นเรานั้นย่อมแปรปรวนไปได้ เช่นเมื่อกายเป็น
เด็กก็ถือว่าเราเป็นเด็ก เมื่อกายเป็นผู้ใหญ่ก็ถือว่าเราเป็นผู้ใหญ่ เมื่อกายแก่ก็ถือว่าเราแก่, หรือเมื่อเสวยสุข ก็ถือว่าเราสุขเมื่อเสวยทุกข์ ก็ถือว่าเราทุกข์
เมื่อสวยไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ก็ถือว่าเราไม่ทุกข์ไม่สุข ดังนี้เป็นต้น,
แต่รวมลงก็คือปัญจขันธ์นั่นเอง.
จิตนั้นอาจอบรมให้ดีหรือให้ชั่ว ให้ฉลาดหรือให้โง่ต่างๆ กันได้ตามสามารถ
ในปัจจุบันภพนี้ก็เห็นประจักษ์อยู่ เช่นคนอยู่ในสำนักที่ดี ก็มักได้
อบรมในทางดีและเป็นคนดี คนที่อยู่ในสำนักที่ชั่ว
ก็มักได้อบรมในทางที่ชั่วและเป็นคนชั่วไป,
พระบรมศาสดาจึงทรงแสดงถึงผู้คบกัลยาณมิตร ( ควรหมายถึงประพฤติตามกัลยาณมิตรด้วย ) ว่าเป็นพรหมจรรย์,
เมื่อถือเอาเนื้อความตรงกันข้าม ผู้คบปาปมิตร
( ควรหมายถึงประพฤติตามปาปมิตรด้วย ) ว่าเป็นอพรหมจรรย์, แต่ก็เป็นไปไม่ได้ทั้งหมดทั้ง ๒ ฝ่าย เพราะยังมีพื้นเพที่ดีและ
พื้นเพที่ชั่ว ที่เรียกว่านิสัยต่างกันอยู่อีกส่วนหนึ่ง.
ส่วนเมื่อละโลกนี้ไปแล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป เหลือวิสัยแห่งญาณ
ของสามัญชนจะพึงเห็นประจักษ์ นอกจากอาศัยหลักที่ท่านแสดงไว้ว่า
พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงถึงพระองค์ว่า ได้ทรง
บรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้ระลึกได้ถึงกายที่อาศัยอยู่ในกาลก่อน ๑
จุตูปปาตญาณ รู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรม ๑
อาสวักขยญาณ รู้สิ้นอาสวะ ๑ และพระพุทธภาษิตในที่อื่นอีกหลายสถาน,
แต่ส่วนผลที่ปรากฏแก่ญาณของสามัญชนที่พอจะให้สันนิษฐานสืบหาเหตุ
ก็คือเด็กที่เกิดมา แม้ยังไม่ทันได้รับการศึกษาในปัจจุบัน ก็ยังแสดงฉลาด โง่
พื้นเพดี พื้นเพชั่ว มีสุข มีทุกข์เป็นต้น อันเป็นภพต่าง ๆ กันเป็นอันมาก
นี้ส่อว่าเด็กนั้น ๆ เคยได้อบรมมาต่าง ๆ กัน,
ถ้าไม่มีเหตุและไม่มีผลส่อถึงกันแล้ว คนที่เกิดมาก็คงเสมอเหมือนกันหมด,
นี้เป็นเรื่องที่ควรสันนิษฐาน เพราะญาณของสามัญชนไม่อาจเห็นประจักษ์ได้. เมื่อมีผู้ทูลถามพระบรมศาสดา
เพื่อให้พระองค์ทรงแสดงให้เห็นประจักษ์โดยตรงพระองค์ทรงห้ามเสีย
และทรงแสดงอริยสัจ ๔ ซึ่งจะพึงเห็นได้ด้วยปัญญาไม่มีข้อคัดค้าน.
เพราะฉะนั้นข้อความที่บรมศาสดาทรงแสดงทั้ง๒ ประการ
จึงดูเหมือนเป็นปฏิปักษ์กัน เพราะพระองค์ทรงเห็นรอบคอบในเหตุผล
แล้วจึงทรงแสดงเช่นนั้น เพื่อให้สำเร็จประโยชน์แก่ผู้ฟัง ด้วยประการฉะนี้.
( วชิร. ๑๓๕-๑๓๘ ).
ดู จิต ด้วยอนุปาทินนกสังขาร (สังขารที่กรรมไม่ยึดครองหรือเกาะกุม ได้แก่ อนุปาทินนธรรมทั้งหมด เว้นแต่อสังขตธาตุ คือนิพพาน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก