จิตหนึ่ง-จิตคือพุทธ
http://www.nkgen.com/13.htm,
วิธีเข้าถึงจิตหนึ่งเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=34049,ประวัติ พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) จาก บล๊อก OKnation
https://sites.google.com/site/xsitimhasawk80xngkh/พระอรหันต์ พระอสีติมหาสาวก 80 องค์
http://www.youtube.com/watch?v=o-ZUiInpns&feature=plcp,
วิธีดูพฤติจิตของตัวเราเอง
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C,ขันท์
|
|
- ท่านที่จะได้นิพพานได้ เฉพาะเทวดาหรือพรหมหรือมนุษย์เท่านั้นใช่ไหม
สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสว่า การที่ไปนิพพานได้ไปได้หมด คือ
พรหมก็ไปนิพพานได้ เทวดาก็ไปนิพพานได้ มนุษย์ก็ไปนิพพานได้
สัตว์ก็ไปนิพพานได้
- ดู ห่าง ห่าง อย่าให้
อารมณ์ที่กระทบ...ครอบงำจิต...ดูตอนตื่นนอนประมาณตีสาม..พอเริ่มฝัน..
ให้..ลุกขึ้นเดิน...ทันที...เดี๋ยวก็เจอ..พญามารตัวจริง....เรานี่เอง
.....นึกว่าใคร..
- " จิตเกิด สรรพสิ่งเกิด จิตดับ สรรพสิ่งสิ่งดับ "
- นิพพานจึงไม่ใช่ทั้งจิตและสสารซึ่งต้องอาศัยเหตุปัจจัยในการดำรงอยู่
พระนิพพานตั้งอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย จึงเรียกว่า
อสังขตธรรมในพระไตรปิฎกมักเปรียบนิพพานว่าเหมือนกับไฟที่ดับแล้ว
ไม่สามารถบอกได้ว่าไฟที่ดับไปนั้นหายไปไหนหรืออยู่ในสภาพใด
- ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ อีกหมวดหนึ่ง
แก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
๑. พวกภิกษุจักเจริญอนิจจสัญญา... ๒. ...อนัตตสัญญา... ๓. ...อสุภสัญญา...
๔. ...อาทีนวสัญญา... ๕. ...ปหานสัญญา ๖. ...วิราคสัญญา... ๗. พวก
ภิกษุจักเจริญนิโรธสัญญา อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว
ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
- ท่านผู้มีอายุ เราไม่พักอยู่ ไม่เพียรอยู่ ข้ามโอฆะได้แล้ว.
- พุทธอุทาน
ผู้ให้ทาน ย่อมเพิ่มพูนบุญ
ผู้สำรวม (ในศีล) ย่อมไม่ก่อเวร
ส่วนผู้ฉลาด ย่อมละบาปได้
เพราะสิ้นราคะ โทสะ และโมหะ
ผู้นั้นจึงชื่อว่าปรินิพพานแล้ว
จุนทสูตรที่ ๕ จบ
- พุทธอุทาน
ภิกษุทั้งหลาย อายตนะ มีอยู่ ในอายตนะนั้นไม่มีปฐวีธาตุ
ไม่มีอาโปธาตุ ไม่มีเตโชธาตุ ไม่มีวาโยธาตุ
ไม่มีอากาสานัญจายตนะ ไม่มีวิญญาณัญจายตนะ
ไม่มีอากิญจัญญายตนะ ไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ไม่มีดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ทั้งสองนั้น
- ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกอายตนะนั้นว่า
มีการมา มีการไป มีการตั้งอยู่ มีการจุติ มีการอุบัติ
อายตนะนั้นไม่มีที่ตั้งอาศัย ไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่มีอารมณ์ยึดเหนี่ยว นี้แลคือที่สุดแห่งทุกข์
ปฐมนิพพานปฏิสังยุตตสูตรที่ ๑ จบ
- ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ-
บิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลาย
เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจ
ให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถาว่าด้วยเรื่องนิพพาน ฝ่ายภิกษุเหล่านั้นก็ทำให้มั่น มนสิการ
แล้วน้อมนึกธรรมีกถาทั้งปวงด้วยจิต เงี่ยโสตลงฟังธรรม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้
ในเวลานั้นว่า
- พุทธอุทาน
ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ปรากฏ
ไม่ถูกเหตุสร้าง ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ปรากฏ
ไม่ถูกเหตุสร้าง ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง จักไม่มี
ในโลกนี้ก็จะไม่ปรากฏภาวะสลัดออกจากธรรมชาติที่เกิดแล้ว
ที่ปรากฏแล้ว ที่ถูกเหตุสร้างแล้ว ที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งแล้ว
- ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ปรากฏ
ไม่ถูกเหตุสร้าง ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่
ฉะนั้น จึงปรากฏภาวะสลัดออกจากธรรมชาติที่เกิดแล้ว
ที่ปรากฏแล้ว ที่ถูกเหตุสร้างแล้ว ที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งแล้ว
ตติยนิพพานปฏิสังยุตตสูตรที่ ๓ จบ
- ข้าพระพุทธเจ้า จะพิจารณาเห็นโลกอย่างไร
มัจจุราชคือความตายจึงจะไม่แลเห็น คือ จักไม่ตามทัน "ดูก่อนโมฆราช
ท่านจงมีสติพิจารณาดูโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า
ถอนความเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด
ท่านจะข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายนี้ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล้ว
มัจจุราชคือความตายจักแลไม่เห็น" เมื่อพระบรมศาสดา
ตรัสพยากรณ์ปัญหาของโมฆราชมาณพ จบลงแล้วโมฆราชมาณพ พร้อมด้วยชฎิลทั้งหมด
ได้บรรลุพระอรหัตผลสิ้นอาสวกิเลสทุกคน
- คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อลดละกิเลส เป็นไปเพื่อความมักน้อย
เพื่อความสันโดษ เพื่อความไม่คลุกคลี เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อให้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เป็นไปเพื่อวิมุตติความหลุดพ้น
เป็นไปเพื่อวิมุตติญาณทัสสนะความเข้าใจในพระนิพพาน
- ท่านบอกหายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้ ยืนอยู่ก็รู้ เดินอยู่ก็รู้
บางทีใช้คำว่ารู้ชัดก็มี เดินอยู่ก็รู้ชัด นั่งอยู่ก็รู้ชัด
คำว่ารู้คืออะไร รู้ที่ท่านพูดมีความหมายนะ มีความสุขก็รู้
มีความทุกข์ก็รู้ นะสอน จิตใจเป็นกุศลก็รู้ จิตใจมีความโลภก็รู้
มีความโกรธก็รู้ มีความหลงก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ หดหู่ก็รู้ สังเกตให้ดีนะ
มีแต่คำว่า 'รู้' เต็มไปหมดเลยในสติปัฏฐาน จิตมีนิวรณ์
มีกามฉันทนิวรณ์ก็รู้ รู้ชัด มีพยาบาทนิวรณ์ก็รู้ เห็นไหม
จิตมีอะไรต่ออะไรขึ้นมา 'รู้' ท่านสอน
- ก่อนท่านนอนหลับไปในคืนนี้
ขอจงตั้งดวงฤดีไว้ให้มั่น
คิดถึงกุศล ผลแห่งดีที่ผูกพัน
จิตตั้งมั่น แน่วแน่แล้วแผ่ไป
แผ่เมตตา ทั่วไปให้คนอื่น
ทั้งรักชื่นเกลียดชังแต่ครั้งไหน
ขอให้เขาได้ดีมีสุขใจ
อย่าหวั่นไหวแม้อมิตรที่คิดชัง
แล้วใจเราจะสบายคลายเร่าร้อน
เพราะจิตผ่อนความเครียดแต่หนหลัง
อนีฆา สุขี อัตตานัง
ห่างทุกขังด้วยเพราะจิต คิดดีเอย
- หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้ว
ก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ เลย จิตนี่แหละคือหลักธรรม
ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่จิต จิตนั้นโดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต
แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่ มิใช่จิต การที่กล่าวว่าจิตนั้น
มิใช่จิตดังนี้ นั่นแหละ
ย่อมหมายถึงสิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริงสิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด
ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า
คลองแห่งคำพูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว และพฤติของจิต
ก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิงแล้ว
- "ก่อนการตรัสรู้ เรายังเป็นโพธิสัตว์อยู่
ครั้งนั้นเรากำหนดเห็นแสงสว่างได้ แต่ครั้งแรกยังไม่เห็นรูป (เทวดา)
ทั้งหลาย เราจึงเกิดความคิดว่า ถ้าเราพึงกำหนดเห็นแสงสว่างได้ด้วย
และเห็นรูป(เทวดา) ทั้งหลายได้ด้วย
ญาณทรรศนะของเราก็จะบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น""ดังนั้น
ในเวลาต่อมาเราจึงไม่ประมาท พยายามปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น
เราจึงได้เห็นแสงสว่างด้วย และเห็นรูปทั้งหลายได้ด้วย
- จิตหนึ่ง นี้เป็นสิ่งซึ่งเราเห็นตำตาเราอยู่แท้ๆ แต่จงลองไปใช้เหตุผล
(ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูซิ เราจะหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที
สิ่งนี้เป็นเหมือนกับความว่างอันปราศจากขอบทุกๆ
ด้านซึ่งไม่อาจจะหยั่งหรือวัดได้
- แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขาอยู่ตั้งกัปป์หนึ่ง
เต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถบรรลุถึงพุทธภาวะได้เลย
เขาไม่รู้ว่าถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวาย
เพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น พุทธ ก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่าจิตนี้คือ
พุทธ นั่นเอง และ พุทธ ก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง สิ่งๆ
นี้เมื่อปรากฏอยู่ที่สามัญสัตว์จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่
และเมื่อปรากฏอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่
- จิตหนึ่ง นี้เท่านั้นเป็น พุทธ ไม่มีความแตกต่างระหว่าง พุทธ
กับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ
เสีย และเพราะเหตุนั้นเขาจึงแสวงหา พุทธภาวะ จากภายนอก
การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นเองทำให้เขาพลาดจาก พุทธภาวะ
การทำเช่นนั้นเท่ากับการใช้สิ่งซึ่งเป็น พุทธ ให้เที่ยวแสวงหา พุทธ
และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต
- จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น
และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย มันไม่ใช่เป็นของมีสีเขียวหรือสีเหลือง
และไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ
ไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งทั้งที่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการตั้งอยู่
ไม่อาจจะลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือของเก่า ไม่ใช่ของยาวหรือของสั้น
ของใหญ่หรือของเล็ก ทั้งนี้เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต
เหนือการวัดเหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้
และเหนือการเปรียบเทียบทั้งหมดทั้งสิ้น
- พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจาก จิตหนึ่ง แล้วมิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย
- เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น
โดยภายในแล้วย่อมเหมือนกันไม้หรือก้อนหิน คือ
ภายในนั้นปราศจากความเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนกับความว่าง
กล่าวคือ ปราศจากขอบเขต หรือสิ่งกีดขวางใดๆ
สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรมหรือฝ่ายรูปธรรม มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ
ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปไหนได้เลย
- จิตนี้คือ พุทธโยนิ อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน
สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิดกระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี
พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี
ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติ อันหนึ่งนี้เท่านั้น และไม่มีแตกต่างกันเลย
ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆ เท่านั้น
ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวง ทุกชนิดไม่มีหยุด
|
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก