อนุสัย ๗
ธรรมทั้งหลาย ๗ มีกามราคะเป็นต้น ซึ่งท่านกล่าวไว้อย่างนี้คือ
๑. กามราคานุสัย อนุสัย คือ ความกำหนัดในกามารมณ์
๒. ปฏิฆานุสัย อนุสัย คือ ความขัดเคือง
๓. มานานุสัย อนุสัย คือ ความถือตัว
๔. ทิฏฐานุสัย อนุสัย คือ ความเห็นผิด
๕. วิจิกิจฉานุสัย อนุสัย คือ ความสงสัย
๖. ภวราคานุสัย อนุสัย คือ ความกำหนัดยินดีในกามภพ
๗. อวิชชานุสัย อนุสัย คือ อวิชชา
เรียกว่า อนุสัย โดยความหมายว่า มีเรี่ยวแรง
เพราะว่าธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ชื่อว่า อนุสัย เพราะว่า นอนเนื่องอยู่นั่นแล โดยความเป็นของการบังเกิดขึ้นแล้วๆเล่าๆแห่งกามราคะเป็นต้น เพราะความมีเรี่ยวแรง
กามราคะ
สภาวะ ความกำหนัดในกาม
เหตุของการละกามราคะ
การละกามราคะ ผู้ใดเจริญสติอยู่เนืองๆ เมื่อสติ สัมปชัญญะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวหิริ โอตตัปปะ จะมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว รวมทั้งกำลังของสมาธิที่นับวันมั่นคงมากขึ้น
เรียกว่า ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทไหนๆ จิตจะมารู้อยู่ที่กายเนืองๆ มากกว่าจะไปรู้นอกกาย เป็นเหตุให้ จิตเกิดความตั้งมั่นได้ทุกสภาวะ ทุกสถานที่ ทุกเวลา
เมื่อมีสภาวะต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้น ตัวกามราคะหรือความกำหนัดในกามจะค่อยๆลดกำลังลงไป เกิดเนื่องจาก
๑. กำลังของสมาธิกดข่มกิเลสเอาไว้
๒. มีสติรู้เท่าทันต่อการปรุงแต่งหรือ กิเลสที่เกิดขึ้นในจิต ณ ขณะนั้นๆ ความรู้สึกนั้นๆย่อมดับหายไปเอง โดยไม่ต้องไปกำหนดหรือพิจรณาใดๆเลย เรียกว่า ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และรู้ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในจิต นั่นคือ กิเลสที่เกิดขึ้นในจิต ณ ขณะนั้นๆนั่นเอง
๓. เมื่อมีกำลังของหิริ โอตตัปปะมากขึ้น มันจะรู้สึกละอายใจต่อการกระทำของตัวเอง มันเป็นเอง ถึงแม้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์จะเป็นเรื่องปกติที่หลายๆคนจะมีก็ตาม
แม้ว่าจะมีการสัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ ความกำหนัดอาจจะเกิดจากการสัมผัสโดยตรง หรือ มันเกิดขึ้นมาเองก็ตาม เรียกว่าทั้งทางตรงและทางอ้อม เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ
แต่เมื่อเจริญสติอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกที่เกิดทางอ้อม จะค่อยๆลดน้อยลงไปเอง คือ ยังคงมี แต่เมื่อไปกระตุ้นตัวเองเพื่อให้เกิดความรู้สึกชัด มันจะไม่เกิด มันจะแค่รู้ แต่ไม่เกิดเพิ่มจากที่มีอยู่
ส่วนทางตรง ที่มีการสัมผัสโดยตรง จะรู้สึกละอาย ต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ส่วนจะมีมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับกำลังของหิริ โอตตัปปะขณะนั้นด้วย
คนที่เจริญสติ นับวันจะมีความรู้ชัดในกายมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้รู้ชัดภายนอกทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น
ซึ่งเป็นเหตุให้ เมื่อจะก่อให้เกิดการกระทำอันเป็นลามกอนาจาร ทั้งๆที่เป็นเรื่องปกติก็จริงอยู่ แต่มันจะละอายใจ จนได้แค่สัมผัสภายนอก อาจจะแค่กอดกัน
ความกำหนัดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จะค่อยๆเบาลงจนหายไปเองในที่สุด แล้วหลับไปเอง จะไม่กระทำอะไรไปมากกว่านั้น ไม่มีอาการหงุดหงิด หรือฟุ้งซ่านแต่อย่างใด เมื่อไม่ได้ดั่งใจ มันจะแค่รู้มากขึ้นเรื่อยๆ ตามกำลังของสติ สัมปชัญญะและสมาธิ
นี่คือ สภาวะการละกามราคะแบบหยาบๆที่จะต้องเจอในเบื้องต้น มันเป็นเอง เกิดเอง โดยไม่ต้องไปกำหนดหรือพิจรณาอะไร แต่เกิดเนื่องจาก สติ สัมปชัญญะและสมาธิทำงานร่วมกัน
อันนี้ก็แล้วแต่เหตุของแต่ละคนที่ทำมา จะพิจรณาก็ไม่ได้ผิดอะไร เวลาทำอะไร ควรคิดพิจรณาด้วยว่า เราทำเช่นนั้นเพื่ออะไร พึงระวังความอยากที่เป็นกุศล
กิเลสตัวนี้จะมีสภาวะที่ละเอียด มากกว่ากิเลสอกุศล หากขาดการคิดพิจรณา จะดูไม่ทัน แต่ไม่เป็นไร เพราะสภาวะจะเกิดเดิมๆซ้ำๆ ตอกย้ำ ย่ำอยู่จนเรารู้เองในที่สุด เมื่อสติมากพอ
ปฏิฆะ
ปฏิฆะ คือ ความหงุดหงิด มีทั้งที่ทำให้เกิดขึ้นมาเองทางผัสสะ กับ เกิดขึ้นเองในจิต โดยไม่ต้องมีผัสสะมากระทบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น