"ผู้รู้" คือ รู้อริยสัจจ รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของสรรพสิ่ง รู้ในไตรลักษณ์
"ผู้ตื่น" คือ ตื่นจากความหลงงมงาย จากการหลอกหลวงของกิเลสตัณหา
ตื่นจากความมืดบอดของอวิชชา ..
"ผู้เบิกบาน" คือ เมื่อรู้แจ้งเห็นจริง ไม่หลง ไม่งมงาย ไม่มืดบอดจากอวิชชา
ย่อมเป็นผู้เบิกบาน จิตไม่เศร้าหมอง ไม่เศร้าโศกอีกตลอดกาล ..
--------------------------------------------------------
ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าไม่ใช่เรา
http://www.dhammahome.com/front/audio/show.php?id=9244
สุ .เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริง ๆ คือจิตเป็นธาตุรู้เมื่อเกิดแล้วต้องรู้ กำลัง
นอนหลับสนิทไม่ใช่คนที่ตายแล้ว มีจิตเกิดดับไหม เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ แต่อารมณ์ไม่
ได้ปรากฏเหมือนอย่างอารมณ์ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
แต่จิตต้องเป็นธาตุรู้หรือสภาพรู้ ไม่ต้องเรียกอะไรเลย ไม่มีใครเรียกอะไร ก่อนการตรัสรู้
จิต เจตสิก รูปก็เกิดดับสืบต่อก็ไม่มีใครไปเรียกอะไรใช่ไหม แต่ว่าเมื่อได้ตรัสรู้แล้วทรง
แสดงก็มีผู้ที่ใช้คำให้รู้ถึงว่าสภาพที่มีจริง ๆ ให้รู้ว่าสภาพนั้นมีจริง ๆ แล้วก็แม้ไม่เรียกชื่อ
อะไร สภาพธรรมนั้นก็มีเช่นโลภะเกิดแล้ว ๆ คุณสุกัญญาเรียกทีหลัง แต่จริง ๆ แล้ว
ลักษณะนั้นเกิดแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณสุกัญญาก็ไม่ได้คิดถึงคำนี้ใช่ไหม แล้วลักษณะที่เกิด
แล้วก็ดับแล้วด้วย เวลาที่กำลังคิดว่าโลภะขณะนั้นลักษณะของโลภะที่เกิดดับแล้ว ๆ จิต
ขณะนั้นก็นึกถึงคำว่า “โล” แล้วก็นึกถึงคำว่า “ภะ” “โลภะ”
ผู้ถาม แต่จากการที่เราศึกษาพระธรรมก็รู้ ตัวเรามีความรู้ในสภาพที่
เป็นจริงเพิ่มขึ้น แต่ว่ายังไม่เข้าใจ หรือว่ายังไม่ประจักษ์ลักษณะของปรมัตถธรรมที่ท่าน
อาจารย์กล่าวถึงจิต เจตสิก หรือรูป จริง ๆ เลย แต่ว่าพอเราศึกษาพระธรรมแล้ว เรามี
ความเข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมากขึ้น มันก็เหมือนกับว่าเราบังคับตัว
เราให้ต้องสำรวมกาย วาจา อย่างนี้
สุ. เพราะฉะนั้นก็เป็นเราไปจนกว่าจะเป็นพระโสดาบัน
ผู้ถาม แต่ว่าถ้าฟังท่านอาจารย์ว่าสภาพธรรมไม่มีชื่อ สิ่งที่เราบีบ
บังคับตัวเองให้สำรวมกาย วาจาก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องใช่ไหม
สุ. ถ้าไม่มีจิต เจตสิก จะเป็นอย่างนั้นไหม ที่ว่าเป็นเราคืออะไร
ผู้ถาม ที่เป็นเราตามสภาพธรรมก็คือจิต เจตสิก รูป
สุ. นี่คือศึกษาเพื่อให้เข้าถึงความเข้าใจอันนี้จริง ๆ ว่าไม่มีเราแต่มี
จิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้นเรียนเรื่องจิต เจตสิก รูป ให้เข้าใจขึ้นเพื่อที่จะได้รู้ว่าเป็นจิต
เจตสิก รูป แต่ละประเภท
ผู้ถาม แล้วที่เราสำรวมอย่างนี้
สุ. ไม่มีจิต เจตสิก หรือ
ผู้ถาม มี
สุ. เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็เป็นจิต เจตสิก ไม่ใช่เรา แต่ไม่รู้ว่าเป็น
จิต เจตสิก
ผู้ถาม แต่ไม่รู้
สุ. เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมที่ไม่ใช่
เราก็จะต้องมีการฟังและมีการอบรม แล้วเราจะรู้ว่ายากแค่ไหนเพราะว่าเคยเป็นเรา แม้ว่า
จะไม่พูดว่าเราก็เป็นเรา หรือแม้จะพูดว่าเรา หรือจะพูดว่าไม่ใช่เรา ก็ยังคงเป็นเราที่พูด
ยังคงเป็นเราที่คิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น